สูตรการคำนวณราคาบ้านที่จะกู้ซื้อได้นั้น สามารถคำนวณคร่าว ๆ โดยใช้สูตร
(รายได้ต่อเดือน) X (60 เท่าของรายได้) = (ราคาบ้านที่กู้ซื้อได้) |
เช่น รายได้ 30,000 บาทต่อเดือน X 60 = 1.8 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นขั้นต่ำของวงเงินที่จะกู้ได้ บางธนาคารอาจจะขยับจำนวนเท่าของรายได้ขึ้นลงขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์พิจารณาตามขั้นตอนกู้ซื้อบ้าน
แต่ทั้งนี้ วงเงินดังกล่าวถือเป็นวงเงินที่ให้ในกรณีที่คุณไม่มีภาระหนี้ใด ๆ เลย ดังนั้นต้องมาดู “ภาระหนี้ต่อรายได้” ของเราด้วย หรือ ศัพท์ธนาคารจะเรียกว่าค่า DSR (Debt Service Ratio) ซึ่งส่วนใหญ่จะอนุญาตให้ผู้กู้ซื้อบ้านมีภาระหนี้ได้ 30-40% ของรายได้ สูตรจึงเป็น
(รายได้ต่อเดือน) X (30% หรือ 40%) = (ความสามารถผ่อนบบ้านกับโครงการ) เช่น รายได้ 30,000 บาทต่อเดือน X 30% หรือ 40% = 9,000-12,000 บาท |
ภาระหนี้ที่ว่า หมายถึงภาระหนี้ทุกอย่างที่มี ไม่ว่าจะเป็นค่าผ่อนรถ โทรศัพท์มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ ดังนั้นสมมติว่ามีภาระหนี้ผ่อนรถอยู่เดือนละ 8,000 บาท ความสามารถผ่อนบ้านกับโครงการที่เหลือว่างอยู่จึงเหลือเพียง 1,000-4,000 บาทเท่านั้น ซึ่งจะคำนวณกลับว่าสามารถกู้ซื้อบ้านได้เท่าไหร่โดยใช้สูตรนี้
(1,000,000 ÷ 7,000) x (ความสามารถผ่อนบ้านกับโครงการ) = (วงเงินที่สามารถกู้ได้) เช่น (1,000,000 ÷ 7,000) x 4,000 = กู้บ้านได้ในราคา 571,429 บาท |
*กรณีนี้กำหนดให้ผู้กู้มีภาระหนี้ได้ 40%
เมื่อทราบความสามารถการผ่อนบ้านกับโครงการ และราคาบ้านที่กู้ได้ของตนเองแล้ว ก็เลือกหาที่อยู่อาศัยที่ตรงใจและเหมาะสมกับความสามารถของเราต่อไป
ในระหว่างที่เลือกหาอยู่นั้น อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในขั้นตอนการซื้อบ้านคือ เราควรที่จะเก็บออมเงินเป็นค่าดาวน์บ้านหรือคอนโดมิเนียมไว้ด้วย เพราะธนาคารมีกฎคือปล่อยสินเชื่อกู้บ้านได้สูงสุด 90% ของราคาบ้าน เช่น ราคาบ้าน 1 ล้านบาท ธนาคารจะให้กู้มากที่สุด 9 แสนบาท อีก 1 แสนบาทจึงเป็นเงินสดที่เราจะต้องจ่ายโดยตรงให้กับผู้พัฒนาโครงการเอง
ดังนั้น โครงการจัดสรรต่าง ๆ จะมีโปรแกรมให้เราผ่อนดาวน์เป็นรายเดือนกับโครงการในระหว่างที่โครงการยังอยู่ระหว่างก่อสร้าง (ธนาคารจะปล่อยกู้เมื่อที่อยู่อาศัยนั้นสร้างเสร็จแล้ว) โดยทั่วไปจะเก็บเงินดาวน์ที่ 10-20% ของราคา
ยกตัวอย่างเช่น ราคาบ้านเดี่ยว 5 ล้านบาท เรียกเก็บเงินดาวน์ 10% = 5 แสนบาท โดยให้ผ่อนดาวน์ 10 เดือน = ชำระค่าดาวน์บ้านเฉลี่ยเดือนละ 50,000 บาท
ด้วยการชำระค่าดาวน์บ้านต่อเดือนที่ค่อนข้างสูง ทำให้เราต้องเตรียมตัวเก็บออมเงินไว้ก่อนส่วนหนึ่งเพื่อนำมาใช้เป็นค่าดาวน์บ้านนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ LTV ทำให้ผู้ซื้อบ้าน-คอนโด (โครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่) สามารถกู้ได้ 100% (ถึงธันวาคม 2565)
ส่วนต่อมาของขั้นตอนการซื้อบ้าน คือเรื่องของเอกสารเมื่อจะยื่นกู้บ้าน ธนาคารจะขอดูบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน ซึ่งทำให้ในช่วง 6 เดือนนี้ควรจะมีเงินคงไว้ในบัญชีอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรถอนออกหมด และถ้าหากมีรายได้เสริมประจำเดือน หรือทำอาชีพฟรีแลนซ์ พ่อค้าแม่ค้า ที่ได้รับเงินเป็นรายครั้ง/รายวัน ก็ควรจะโอนเข้าในบัญชีอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน
อีกข้อที่ธนาคารจะตรวจสอบคือ “เครดิตบูโร” ซึ่งจะมีประวัติการชำระหนี้ของผู้กู้ย้อนหลัง 3 ปี ใน 3 ปีนี้ถ้าหากมีการชำระหนี้ไม่ตรงเวลา หรือที่มักเรียกกันติดปากว่าติด “แบล็คลิสต์” ซึ่งเป็นคำนิยามของ “ผู้ที่มีประวัติในการผ่อนชำระหนี้ที่ไม่ดีหรือผ่อนชำระหนี้ไม่ได้ตามข้อตกลง” ถือว่าเป็นผู้กู้ที่มีความเสี่ยงจะเป็นหนี้เสีย ดังนั้น หากมีการกู้ซื้อสินค้าใด ๆ หรือการชำระค่าบัตรเครดิต ก็ควรต้องจ่ายให้ตรงเวลาทุกครั้ง เพราะการติดแบล็คลิสต์อาจทำให้ธนาคารปฏิเสธการให้กู้ซื้อบ้านไปโดยสิ้นเชิงได้
ใครที่กำลังคิดผู้กู้ซื้อบ้านสามารถตรวจสอบเครดิตบูโรงของตนเองได้ โดยบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด มีบริการตรวจเครดิตบูโรหลากหลายช่องทาง
เป็นประเด็นสืบเนื่องจากข้อ 1 เมื่อมีภาระหนี้เดิมอยู่ก็จะทำให้เรามีวงเงินกู้ซื้อบ้านต่ำลง ดังนั้นภาระหนี้ใดที่สามารถโปะเงินปิดบัญชีให้เรียบร้อยได้ควรทำทันทีก่อนจะยื่นกู้ซื้อบ้าน แม้ว่าจะเหลือระยะเวลาไม่มาก เช่น ผ่อนค่าโทรศัพท์มือถือ แม้ว่าจะเหลืออีกเพียง 3 เดือนจะผ่อนหมด แต่ ณ ช่วงเวลาที่ยื่นกู้ซื้อบ้าน ธนาคารจะถือว่าเรามีภาระหนี้ส่วนนี้อยู่
หลายคนที่ถือบัตรเครดิตมากกว่า 1 ใบ เพราะข้อเสนอที่ยั่วยวนใจเมื่อธนาคารมาชวนสมัครบัตรเครดิต แม้ที่จริงแล้วจะไม่ค่อยได้ใช้งานก็ตามแต่ธนาคารจะมองว่าผู้กู้มีโอกาสสร้างหนี้สูงขึ้นในภายหลังจากบัตรเครดิต ซึ่งจะทำให้โอกาสการอนุมัติสินเชื่อบ้านต่ำลง ดังนั้น ก่อนยื่นกู้บ้านควรจะขอยกเลิกบัตรเครดิตให้เหลือเพียง 1-2 ใบเท่านั้น
ขั้นตอนการซื้อบ้านขั้นตอนสุดท้าย เป็นการเตรียมเอกสารเมื่อจะยื่นกู้ซื้อบ้านกับธนาคาร ซึ่งส่วนที่อาจจะต้องดูแลเป็นพิเศษ คือ หลักฐานการทำงานและรายได้ต่าง ๆ เช่น สลิปเงินเดือน ใบรับรองการทำงาน ที่เราอาจจะต้องเดินเรื่องขออนุมัติจากหน่วยงานต้นสังกัด และบางหน่วยงานอาจจะใช้เวลานานกว่าจะได้รับอนุมัติ การเตรียมตัวก่อนจึงสำคัญที่จะทำให้การยื่นกู้ซื้อบ้านเป็นไปอย่างราบรื่น
สิ่งที่ต้องเตรียม |
รายละเอียด |
ภาระหนี้ |
ไม่เกิน 30-40% ของรายได้ |
เงินออม |
อย่างน้อย 10% ของราคาบ้าน |
การเคลื่อนไหวบัญชี |
ย้อนหลัง 6 เดือน |
ประวัติการชำระหนี้ |
ย้อนหลัง 2 ปี |
หากเตรียมตัวทางด้านการเงินและเอกสารครบ 7 ขั้นตอนการซื้อบ้าน แค่นี้คุณก็พร้อมที่จะกู้ซื้อบ้านหลังงามได้แล้ว
![]() |
โทร คุณพบ 0616355444 กดเลย ! |
![]() |
ไลน์ไอดี @toland |
![]() |
@Hometaverse |
![]() |
หลวงพ่อบ้านแหลม | ||
---|---|---|
![]() |
ชื่อเต็ม | หลวงพ่อบ้านแหลม วัดเพชรสมุทร | ||
---|---|---|---|
ชื่อสามัญ | หลวงพ่อบ้านแหลม | ||
ประเภท | พระพุทธรูป | ||
ศิลปะ | ปางอุ้มบาตร ศิลปะอยุธยา | ||
ความกว้าง | - เมตร | ||
ความสูง | 2 เมตร 80 เซนติเมตร | ||
วัสดุ | สำริด ปิดทอง | ||
สถานที่ประดิษฐาน | พระอุโบสถ วัดเพชรสมุทรวรวิหาร สมุทรสงคราม | ||
ความสำคัญ | พระพุทธรูปสำคัญ ของจังหวัดสมุทรสงคราม |
วัดจุฬามณี | |
---|---|
![]() ![]() |
ชื่อสามัญ | วัดจุฬามณี, วัดแม่เจ้าทิพย์ |
---|---|
ที่ตั้ง | เลขที่ 93 หมู่ที่ 9 ทางหลวงท้องถิ่น สส.ถ 23-004 ตำบลบางช้าง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม 75110 |
ประเภท | วัดราษฎร์ |
นิกาย | มหานิกาย |
เจ้าอาวาส พระเกจิ จุดเด่นสำคัญ |
พระครูโสภิตวิริยาภรณ์ (อิฏฐ์ ภทฺทจาโร) พระครูโกวิทสมุทรคุณ (เนื่อง โกวิโท) ท้าวเวสสุวรรณ |
ชื่อสามัญ | วัดนางตะเคียน, วัดเทพธาราม |
---|---|
ที่ตั้ง | ตำบลคลองเขิน อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม |
ประเภท | วัดราษฎร์ |
นิกาย จุดเด่นสำคัญ |
มหานิกาย พระนางสุพรรณอัปสร (แม่ใหญ่) |
บ้านที่ดี เต็มไปด้วยความสุข รอยยิ้มการสร้างบ้านในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งการเลือกใช้วัสดุ การออกแบบ ฯ หมั่นทำความสะอาดบ้านสะอาดเป็นสิ่งที่หลายบ้านควรคำนึงถึง เพราะหากบ้านสกปรกอาจส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย ดังนั้นควรทำความสะอาดเป็นประจำ อย่างเช่นการกวาดบ้าน ถูบ้าน จัดสิ่งของ เป็นต้น และทำการปัดหยากไย่อยู่เป็นประจำทุกสัปดาห์ การจัดระเบียบห้องแน่นอนว่าบ้านจะต้องแบ่งเป็นห้องต่างๆอย่างเช่น ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนอน ห้องนั่งเล่น เป็นต้น เพราะฉะนั้นสิ่งของภายในห้องต่างๆจะต้องมีการสอดคล้องกัน ให้ทำการจัดระเบียบสิ่งของ บรรยากาศที่อยู่ภายในบ้าน เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก บ้าน และที่สำคัญบรรยากาศของสมาชิกภานในครอบครัว ที่ดูแลซึ่งกันและกัน รักใคร่กัน นอกจากบ้านที่เป็นความสุขเล็กแล้ว มุมพักผ่อนก็เป็นสิ่งสำคัญ หากบ้านมีพื้นที่มากอย่าลืมที่จะจัดสวนมุมนั่งเล่นเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ สามารถนั่งอ่านหนังสือ มีสระว่ายน้ำให้ออกกำลังกาย มีโต๊ะพูลให้ทำกิจกรรม มีห้องคาราโอเกะเพื่อความสนุกสุดมันส์ ทานอาหารว่างได้ยามบ่ายได้ แถมยังสามารถจัดกิจกรรมเล่กๆภายในครอบครัวได้อีกด้วย |